16 พ.ย. 2549

ความจริงในความรัก
- A man overtime falls in love with the woman he is attracted to, and a woman overtime becomes more attracted to the man she loves. ผู้ชายมักจะตกหลุมรักคนที่เค้าหลงเสน่ห์ และผู้หญิงจะหลงเสน่ห์คนที่เธอตกหลุมรัก - To love is nothing. To be loved is something. To love and be loved is everything!! การได้รักเป็นเรื่องขี้ผง การถูกรักเป็น "บางอย่าง" ทีเดียว ส่วนการได้รักและการถูกรักเป็นทุกอย่าง - You may only be one person to the world but you may also be the world to one person. คุณอาจจะเป็นแค่ "คน ๆ หนึ่ง" ในโลกใบนี้ แต่คุณอาจจะเป็น "โลกทั้งใบ" ของคนคนหนึ่งก็ได้ - Friendship often ends in love, but love in friendship- never. มิตรภาพมักจะจบลงด้วยความรัก แต่ความรักไม่มีวันจบลงด้วยมิตรภาพ - You know when you love someone when you want them to be happy even if their happiness means that you're not part of it. คุณรู้ว่า คุณรักเค้าก็ต่อเมื่อคุณต้องการให้เค้ามีความสุข แม้ว่าความสุขนั้นจะหมายความถึงการที่คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน - Love is like standing in the wet cement. The longer you stay, the harder it is to leave. And you can never go without leaving your shoes behind. ความรักก็เหมือนซีเมนต์เปียก ๆ ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งติดหนึบ จากไปไม่ได้เท่านั้น และคุณจะไม่มีวันจากมาได้เลย โดยที่ไม่ได้ทิ้งรองเท้าไว้ข้างหลัง - Don't rely on the past to create the future, rely on the future to erase the past. อย่าวางใจใช้อดีตเป็นตัวสร้างอนาคต แต่จงใช้อนาคตเป็นตัวลบอดีตทิ้งไป - Love will die if held too tightly; love will fly if held too lightly. รักจะเฉาตายถ้ายึดไว้แน่นเกินไป และรักจะโบยบินไปถ้ายึดไว้หย่อนเกินไป - If you love someone tell them, don't wait or else you will lose the chance. ถ้าคุณรักใคร บอกเค้าซะ อย่ารีรออยู่เลย ไม่งั้นคุณจะเสียโอกาสนะ - It only takes a second to say "I love you", but it will take a lifetime to show you how much. ใช้เวลาแค่เพียงชั่ววินาทีในการบอกว่า "ฉันรักเธอ" แต่ใช้เวลาตลอดชีวิตในการแสดงให้เห็นว่า รักมากเพียงไร - Love, is like water, we take it for granted. Thus, when it is gone, it becomes crucial. ความรักก็เหมือนน้ำ เรามักจะเห็นมันเป็นของตาย ต่อเมื่อ มันหมดไปแล้ว นั่นละ ... มันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น - True love is like ghosts, which everyone talks about but few have seen. รักแท้ก็เหมือนกับปีศาจ ทุกคนพูดถึง แต่มีคนน้อยมากที่ได้เห็นว่าเป็นอย่างไร - The essential sadness is to go through life without loving. But it would be almost equally sad to leave this world without ever telling those you loved that you love them. ความเศร้าที่สำคัญคือการชีวิตโดยปราศจากความรัก แต่มันคงจะเศร้าเกือบจะพอ ๆ กันที่จะจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้บอกคนที่คุณรักว่า คุณรักพวกเค้า" - A man falls in love through his eyes, a woman through her ears. ผู้ชายตกหลุมรักทางตา แต่ผู้หญิงน่ะ ตกหลุมรักทางหู - The way to love anything is to realize that it might be lost. หนทางที่จะรักสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็คือ การตระหนักสิ่งนั้น ๆ อาจจะสูญหายได้ - When a young man complains that a young woman has no heart, it is pretty sure that she has his. เวลาที่หนุ่มน้อยโอดครวญว่า สาวน้อยนางนั้นไม่มีหัวใจ ค่อนข้างแน่ใจได้เลยว่า สาวน้อยนั้นน่ะ ... มีหัวใจของหนุ่มคนนั้นอยู่ในกำมือ - To love is to risk not being loved in return. To hope is to risk pain. To try is to risk failure, but risk must be taken, because the greatest hazard in life is to risk nothing. การที่ได้รักก็เสี่ยงก่อนที่จะย้อนกลับมารัก ถึงความหวังนั้นจะเสี่ยงต่อการเจ็บปวด เหนื่อยต่อการเสี่ยงที่ไร้ผล แต่ความเสี่ยงนั้นต้องจับมันเอาไว้ เพราะว่ามันเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตเป็นการเสี่ยงที่ไม่มีอะไรเลย

18 ต.ค. 2549

บทเทศนา

อัศจรรย์ไม่มีหยุด(ลูกา 5:1-11)
มื่อพูดถึงการอัศจรรย์เรา มักจะคิดถึงเรื่องที่ไม่ค่อยจะเกี่ยวกับเรา เรามักจะคิดถึงโมเสส
คิดถึงเอลียา คิดถึงเอลีชา คิดถึงเปโตร น้อยมากที่เราจะคิดถึงตัวเอง แต่จริงแล้วการอศัจรรย์เกิดขึ้นได้กับผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน พระเจ้าไม่มีเปลี่ยน
1. มั่นคง
เปโตร อันดรูว์ ยากอบ และยอห์น 4 คน จับปลาทั้งคืนแต่ไม่ได้ปลาเลย
เปโตรพูดชัดเจนว่า “จับปลาคืนยังรุ่งไม่ได้อะไรเลย” นั่นแสดงว่าทั้ง 4 คนผิดหวังอย่างมาก
แม้ว่าทั้ง4 คน จะมีอาชีพจับปลาอย่างช่ำชองก็ตาม.................
แต่ในความผิดหวังของทั้ง 4 คน ไม่ได้ทำให้พวกเขาเลิกลา
เพราะในความเป็นจริงนั้นชาวประมงที่แท้จริงจะไม่ยอมเลิกลาง่าย ๆ
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พระเยซูคริสต์มีสาวกอย่างน้อย 7 คนที่เป็นชาวประมง
จริงอยู่เปโตรกับเพื่อนร่วมงานได้ประสบกับค่ำคืนแห่งความผิดหวังจากความล้มเหลว
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาหยุดที่จะจับปลา ขณะที่องค์พระเยซูคริสต์พบเขา
พวกเขากำลังชุนอวนอยู่ หมายความว่าพวกเขากำลังจะเริ่มต้นใหม่...............
จากจุดนี้เราจะเห็นว่าเปโตรและเพื่อน ๆ ของเขาไม่สามารถควบคุมปลาในทะเลได้
แต่เขาทั้งหลายสามารถควบคุมความเชื่อและความมั่นใจในพระเจ้าได้
ผมอยากจะขอย้ำว่า “ไม่มีความพ่ายแพ้ตลอดกาลสำหรับผู้ที่ติดตามพระเจ้า และการอัศจรรย์
ไม่เคยหายไปจากคนที่ติดตามพระองค์”............................................
2. ทำตาม
จากพระวจนะของพระเจ้าในข้อที่ 4 …………………………………………………………
อาจจะเป็นการยากที่ชาวประมงจะต้องยอมทำตามช่างไม้
อาจจะเป็นการยากที่ชาวประมงที่เคยจับปลากลางคืน ** แต่กลับถูกช่างไม้สอน แนะนำให้มาจับปลา
ในตอนกลางวัน **และเป็นการยากที่ปกติชาวประมงจะจับปลาน้ำตื้น กลับให้คนช่างไม้ไปจับ
ปลาน้ำลึก ๆ.......................
แต่เราขอบคุณพระเจ้า ทั้ง ๆ ที่เปโตรยังลังเล อาจจะสับสนบ้างเกี่ยวกับความรู้ที่ตนเองมีกับ
คำชี้แนะขององค์พระเยซูคริสต์ แต่เปโตรก็เรียกพระเยซูว่า “พระอาจารย์” (ข้อ 5) และโดยการยอม
ทำตาม ยอมฟังพระเยซูของเปโตรนี้เอง เขากำลังจะเห็นการอัศจรรย์ การเชื่อฟังและกระทำตามเป็น
กุญแจที่นำไปสู่การค้นพบการอัศจรรย์จากพระเจ้า การเชื่อฟังและกระทำเป็นเคล็ดลับที่จะนำเรา
ไปพบกับพระพรของพระเจ้า ตัวอย่าง : 1) เมื่ออับราฮัมถวายอิสอัคแด่พระเจ้าตามคำบัญชา
2) เมื่อตอนที่อิสราเอลข้ามทะเลแดง
3) รักษาคนเจ็บป่วย คนตายให้ฟื้นขึ้น
4) เมื่อตอนเลี้ยงอาหารคนห้าพันคน หรือสี่พันคน
3. รับการอัศจรรย์ด้วยใจสำนึก
จากพระวจนะในข้อที่ 5 เปโตรพูดว่า “จะหย่อนอวนลงตามพระดำรัสของพระเยซู”และ
ในข้อที่ 6 เปโตรก็หย่อนอวนลง ตรงที่พระเยซูแนะนำทุกอย่าง เกิดอะไรขึ้น?………………..
1. ปลาติดอวนมากมาย อวนเกือบแตก
2. ต้องเรียกให้เรือลำอื่นมาช่วย
3. จากสิ่งที่ “ไม่ได้เลย กลับมีมากมาย”
เปโตรตื่นตะลึงที่ได้เห็นการอัศจรรย์เกิดขึ้นภายหลังที่พระเยซูตรัส..........
เปโตรแทนที่ตะโกนไปยังทุกคนที่อยู่ริมฝั่งด้วยเสียงดังว่า “ดูซิ! ผมประสบความสำเร็จแล้ว!”
ตรงกันข้าม เปโตรกราบลงที่ตักหรือเข่าของพระเยซูคริสต์
ด้วยสำนึกว่า ตัวเองไร้ความหมายเมื่อเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพระเยซู
เปโตรรู้ว่าพระเยซูทรงรักษาผู้คนมามากมาย แต่วันนี้เปโตรอัศจรรย์ใจตรงที่ว่าพระเยซูทรงสนใจ
ในทุกเรื่อง ในทุกเรื่องของเขาที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวัน
และไม่เพียงการอัศจรรย์เกิดขึ้นในแง่ของวัตถุเท่านั้น แต่สิ่งอัศจรรย์ที่สำคัญก็คือ การ
อัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับตัวเปโตรเอง เปโตรกลายเป็นผู้ที่พบการอัศจรรย์และกระทำการอัศจรรย์
ในพระนามของพระเยซูคริสต์มากมาย
พี่น้องทั้งหลาย การอัศจรรย์จากพระเจ้าไม่หยุดกับผู้ที่ติดตามพระองค์เท่านั้น แต่จะอยู่กับทุกคนที่มีความเชื่อในพระองค์ ถ้าท่านอยากเห็นการอัศจรรย์นี้ก็เชื่อมันในองค์พระเยซูคริสต์ ยอมที่จะดำเนินชีวิตตามนำพระทัยของพระเจ้าแลวท่านจะได้สัมผัสการอัศจรรย์นี้
ขอพระเจ้าทรงอวยพระพร
รศบ.ศาลาธรรมร่มเกล้า






11 ต.ค. 2549

ศาลาธรรมร่มเกล้า

ศาลาธรรมร่มเกล้า

9 ต.ค. 2549

บทเรียนผู้เชื่อ

บทที่ 1 เรื่อง หลักข้อเชื่อ
เป้าหมาย
เพื่อช่วยให้ผู้เชื่อได้เห็นความสำคัญของหลักข้อเชื่อที่ถูกต้องซึ่งเป็นพื้นฐานของการดำเนินชีวิตของการเป็นคริสเตียน
หลักสำคัญ 1ทธ.4:16 “จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่านและคำสอนของท่าน จงยึดข้อที่กล่าวนี้ไว้ให้มั่น เพราะเมื่อกระทำดังนั้น ท่านจะช่วย ทั้งตัวท่านเองและคนทั้งปวงที่ฟังท่านให้รอดได้”
หลักข้อเชื่อคืออะไร
หลักข้อเชื่อ คือ “คำอธิบายถึงสิ่งที่เราเชื่อ” หรือคำสอนที่มีจุดยืนที่แน่นอนและเป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเติบโตขึ้นในการดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างเข้มแข็ง หากไม่มีหลักข้อเชื่อที่ถูกต้องแล้วก็เป็นเรื่องที่ยากที่จะพัฒนาชีวิตคริสเตียนและรับใช้อย่างเกิดผลได้ (โรม 15:4)
จากคำสอนของอ.เปาโลมี 2 สิ่งที่ทำให้เราได้รับความหวังคือ ( อ่านโรม 15:4 )
1.
2.
เพราะเหตุใดลูกาจึงจึงคิดว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญ (อ่าน ลูกา1:3-4)
เราจะพบความจริงที่เป็นรากฐานของหลักข้อเชื่อได้จากที่ใด?
พระเจ้าเปิดเผยความจริงแก่เราผ่านการศึกษาพระวจนะของพระองค์พระคัมภีร์จึงเป็นรากฐานที่ใช้เพียงหนึ่งเดียวของหลักข้อเชื่องที่ถูกต้อง (ซึ่งเราถึงชีวิตของพระเยซูคริสต์ด้วย) พระคัมภีร์จึงปราศจากข้อผิดพลาดและคงไว้ซึ่งอำนาจสูงสุด ในการกำหนดทิศทางของหลังข้อเชื่อของคริสเตียน
พระวจนะของพระเจ้าเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนเพื่อรับใช้อย่างไรบ้าง? (อ่าน2ทิโมธี3:16-17)

การเปิดเผยความจริงเป็นกระบวนการที่เหนือธรรมชาติ พระเจ้าได้ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อช่วยนำเราไปสู่ความจริงและให้เราดำเดินชีวิตได้อย่างถูกต้อง เป้าหมายของพระเจ้าที่ทรงเปิดเผยความจริงก็เพื่อให้เรานั้นมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า ดั้งนั้นประสบการณ์ส่วนตัวในชีวิตคริสเตียน และการเข้าใจหลักการของพระเจ้าจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตั้งอยู่บนความเชื่อที่ถูกต้อง ( เอเสเคียล 11:24 )

ในยอห์น 16:13 -15 พระเยซูทรงตรัสว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์คืออะไร?

เหตุใดจึงจำเป็นต้องมีหลักข้อเชื่อที่มีความถูกต้อง?
หลักข้อเชื่อที่ถูกต้องจะช่วยชี้แจงและยืนยันความเชื่อของคริสเตียนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เช่น พระเจ้าคือใคร? อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเราตายจากโลกนี้? ทำไมพระเยซูต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน? ถ้าคำชี้แจงเหล่านี้มีรากฐานอยู่บนหลักความเชื่อที่ถูกต้องแล้ว ก็จะช่วยให้คริสเตียนได้รับโอกาสในการเติบโตฝ่ายวิญญาณ และนำเข้าไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์กับพระเจ้าในทางที่ถูกต้องด้วย
พระคัมภีร์สอนว่าหลักข้อเชื่อนั้นมีที่มาที่แตกต่างกันไป และไม่ใช่หลักข้อเชื่อทุกอย่างจะมีรากฐานอยู่บนความจริงแห่งพระวจนะทั้งหมด เพราะนอกเหนือจากหลักข้อเชื่อที่กำเนิดมาจากความจริงแล้ว ยังมีหลักข้อเชื่อที่เกิดมาจากความคิดมนุษย์ด้วย และมีบางส่วนมาจากมารด้วย ดั้งนั้นเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องจากการศึกษาพระคัมภีร์ เพื่อจะช่วยปกป้องข้อผิดพลาดจากการหลอกลวง ที่มาจากมนุษย์ และมารได้
ทำไมบางคนจึงอยากสร้างหลักข้อเชื่อของตัวเองขึ้นมา?( 2 ทิโมธี 4:3 )

เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณโดยไม่มีหลักข้อเชื่อที่ถูกต้อง? ( มัทธิว 15:9 )

ทำไมมารจึงพยายามล่อลวงมนุษย์ด้วยหลักข้อเชื่อที่ผิดๆ? ( 1 ทิโมธี 4:1-3 )

ความสำคัญของหลักข้อเชื่อในชีวิตคริสเตียน
ใน 1ทิโมธี 4:16 ได้บอกให้เรานั้น “ยึด...มั่น”ในคำสอนที่ถูกต้อง ซึ่งมีรากศัพท์ของภาษากรีกในคำว่า επιμενε (เอพิเมโน) ซึ่งแปลว่า “ยึดให้มั่น” และยังมีความหมายอีกว่า “เข้าสนิทอยู่ใน...” หรือ “ดำรงอยู่ใน....” ดังนั้นความหมายของพระคัมภีร์คือต้องการให้เรานั้นยึดมั่นในรากฐานของหลักข้อเชื่อที่ถูกต้องอย่างต่อเนื่อง
หลักข้อเชื่อที่ถูกต้องจะช่วยให้เราเติบโตในพระคริสต์ได้อย่างไร? (เอเฟซัส 4:14 – 15 )

ถ้าหลักข้อเชื่อของเราถูกต้องแล้วเราจะมีความมั่นใจในพระวจนะแห่งความจริงของพระเจ้ามากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้า และทำให้เรามีความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าอย่างลึกซึ้งมากขึ้นด้วย
กระบวนการในการเสริมสร้างหลักข้อเชื่อมี 3 ขั้นตอนคือ
1) ความรู้ คือการมีความจริง เมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์เราก็จะมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้ามากขึ้น ยิ่งเรารู้เกี่ยวกับพระเจ้ามากเท่าไรเราก็จะยิ่งเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ และหนทางในการรับใช้พระองค์มากขึ้นเท่านั้น
ทัศนคติของเอสราที่มีต่อพระวจนะของพระเจ้าเป็นอย่างไร? ( เอสรา 7:10 )

2) ความเข้าใจ คือการแปลความหมายของความจริง การรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าอย่างเดียวนั้นไม่พอ เราจำเป็นต้องขอให้พระวิญญาณช่วยทำให้เราเข้าใจพระวจนะนั้นอย่างถูกต้องด้วย
จากคำกล่าวของโยบ ใครคือที่มาของความเข้าใจ? ( โยบ 32:8 )

3) สติปัญญา คือการนำความจริงมาประยุกต์ใช้เมื่อเรารู้จักและเข้าใจพระวจนะอย่างถูกต้องแล้วก็นำพระวจนะนั้นมาพิสูจน์ว่าเป็นความจริงหรือไม่ โดยการนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเพราะความเชื่อไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราเชื่อเท่านั้นแต่ยังรวมถึงการนำสิ่งที่เชื่อนั้นมาปฏิบัติในชีวิตส่วนตัวด้วย
ยากอบบอกถึงผู้มีปัญญาว่าควรจะมีการแสดงออกอย่างไร? ( ยากอบ 3:13 )

คำถามเพื่ออภิปราย และนำไปใช้
ท่านแน่ใจหรือไม่ว่าชีวิตคริสเตียนของท่านกำลังถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของหลักข้อเชื่อที่ถูกต้องตามหลักการของพระ วจนะของพระเจ้า?

เพราะเหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น ขอให้อธิบาย?