11 มี.ค. 2554

นั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์

และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ - อฟ. ๒:๖
คุณเคยรู้จักใครที่กลัวผีหรือไม่ แม้ต่อมาเขาจะเป็นคริสเตียน แทนที่จะดีขึ้นแต่อาการกลับหนักลงกว่าเดิม จากที่เคยกลัวเพียงความมืดและยังใช้ชีวิตได้เป็นปกติในสังคม กลับกลายเป็นคนที่แสดงออกทางจิตและกายจนเข้าสังคมไม่ได้
เขาเข้าใจว่าทันทีที่เขารับเชื่อในพระคริสต์ เขาถูกตามติดด้วยวิญญาณชั่วต่างๆ นานา และทุกครั้งที่เขาทำผิดหรืออารมณ์เสีย เขาโยนความผิดว่าวิญญาณชั่วในตัวเขากำลังครอบงำ เขาเริ่มหวาดกลัว และหวาดผวาแม้กระทั่งเสียงใบไม้ที่ปลิวมา
เขาทำทุกวิธีที่แปลกประหลาดพิสดารตามคำแนะนำของผู้หวังดีเพื่อที่จะเอาชนะวิญญาณเหล่านั้น แต่ยิ่งนานวัน เขากลับกลายเป็นคนประหลาดพิสดารเสียเอง จนไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติทั้งในสังคมและครอบครัว
ทราบหรือไม่ว่าในวินาทีที่คุณเชื่อในพระองค์ พระองค์ได้ทรงช่วยคุณให้พ้นจากอำนาจของมาร (คส. ๑:๑๓)
น่าเสียดายที่หลายคนไม่ทราบว่าพระคริสต์ได้ทรงช่วยให้พวกเขาพ้นจากอำนาจของความมืด เขายังคงหาวิธีต่อสู้ทำสงครามเพื่อเอาชนะมันต่อไป การกระทำของเขาแสดงให้เห็นว่าเขายังคงไม่พ้นจากอำนาจของมัน
พวกเขาอ้างเหตุผลในการต่อสู้ว่าเพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ” (อฟ. ๖:๑๒)
แต่คำว่า ต่อสู้หรือ ปล้ำสู้ในข้อนี้เป็นการปล้ำสู้กับเทพผู้ครองและศักดิเทพที่ถูกปลดสิทธิอำนาจทั้งหมด (คส. ๒:๑๕) เป็นการปล้ำสู้กับเทพผู้ครองและศักดิเทพที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเรา (อฟ. ๑:๒๑-๒๓)
จากบริบทของการต่อสู้ เป็นการปล้ำสู้ที่ไม่ใช่การใช้แรงกาย ไม่ใช่การขึ้นที่สูงเพื่ออธิษฐานทำสงคราม แท้ที่จริงเป็นเพียงการต่อต้านหรือยืนต้านอุบายหรือการล่อลวงของมาร เป็นการยืนหยัดบนพระวจนะของพระเจ้า โดยไม่ปล่อยให้ความคิด ความสงสัยจากมารเข้ามาล่อลวงให้เราละทิ้งความเชื่อที่มีต่อพระวจนะของพระเจ้า
คุณจัดการกับมารได้โดยไม่ต้องขึ้นบนภูเขาสูง ต่อให้คุณลงไปบริเวณเหวลึก คุณก็จัดการกับมารได้ พระเยซูตรัสว่าเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า สิ่งสารพัดซึ่งท่านจะกล่าวห้ามในโลก ก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ และสิ่งซึ่งท่านจะกล่าวอนุญาตในโลก ก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์เหมือนกัน” (มธ. ๑๘:๑๘)
สวรรค์ในที่นี้ยังหมายถึง ท้องฟ้าสิ่งสารพัดที่คุณจะกล่าวห้าม ในโลกก็จะถูกล่าวห้ามในท้องฟ้า
คุณสามารถกล่าวห้ามเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศได้จากทุกตารางนิ้วของพื้นที่บนโลกนี้โดยไม่ต้องขึ้นที่สูงไปสู้รบกับมันเป็นการปล้ำสู้ที่คุณสามารถยืนต้านได้ และคุณจะมีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์ (อฟ. ๖:๑๐) เป็นการยืนต้านที่คุณเป็นฝ่ายอยู่และมารเป็นฝ่ายไป (ยก. ๔:๗) เป็นการต่อสู้ที่คุณเป็นต่อ จากพระธรรมข้อหลัก พระเจ้าทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์ นั่นคือตำแหน่งสูงสุด และสูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น มิใช่ในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์...” (อฟ. ๑:๒๑-๒๓) จากข้อนี้ เพราะบรรดาเทพถูกปราบลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และคุณเป็นอวัยวะในพระกายของพระคริสต์ บรรดาเทพเหล่านี้ก็ถูกปราบลงไว้ใต้เท้าของคุณเช่นกัน
คำถามคือ วันนี้คุณกำลังสู้รบกับมารสุดกำลังของคุณโดยหวังว่าสักวันคุณจะเอาชนะมัน หรือคุณกำลังนั่งบนบัลลังก์ในพระคริสต์ ยืนบนพระวจนะต้านอย่างมีชัยเหลือล้นเหนือศัตรูที่พ่ายแพ้ซึ่งถูกปลดสิทธิอำนาจและถูกปราบให้อยู่ใต้เท้าของคุณ
ตัดสินใจวันนี้ที่จะตระหนักว่าพระเจ้าประทานตำแหน่งสูงสุดแด่คุณ คือประทานสิทธิให้คุณเป็นบุตร และทรงโปรดให้คุณนั่งในสวรรคสถานสูงยิ่งเหนือศัตรู เหนือศัตรูที่ถูกปลดสิทธิอำนาจ ตระหนักว่ามันกลัวคุณซึ่งเป็นอวัยวะของพระกายไม่ต่างกับที่มันกลัวพระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระเศียร เมื่อคุณสั่งมันบนโลก จงตระหนักว่าคุณกำลังใช้สิทธิอำนาจสั่งตรงจากที่นั่งในสวรรคสถาน จงยืนหยัดในชัยชนะและตำแหน่งสูงที่พระเจ้าประทานแด่คุณ ยืนหยัดบนพระวจนะต้านอุบายล่อลวงของมัน มันจะหนีคุณไปด้วยความกลัว คุณจะดำเนินชีวิตอย่างมีชัยเหลือล้น มีประสบการณ์กับสันติสุขและชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ
คำกล่าวตามด้วยความเชื่อ: พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้าเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้ข้าพเจ้านั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์

ชีวิตซ่อนไว้กับพระคริสต์

เพราะว่าท่านได้ตายแล้ว และชีวิตของท่านซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า - คส. ๓:๓

คุณเคยเห็นชีวิตของคนที่ดำเนินไปอย่างไร้ค่าบ้างหรือไม่ เขาไม่เห็นคุณค่าของตนเอง ส่งผลให้เขาไม่เห็นคุณค่าของผู้อื่น ชีวิตของคนมากมายต้องสูญเสียไปเพราะการกระทำของคนที่ไม่รู้คุณค่าของชีวิตสิ่งที่คุณเห็นค่าจะถูกเก็บไว้อย่างดี คุณจะทะนุถนอม ดูแล บำรุงรักษา ทำความสะอาด และซ่อนเอาไว้อย่างดี พระเจ้าทรงมีทรัพย์ล้ำค่าและสำคัญยิ่งที่ทรงซ่อนไว้เช่นกัน จากพระธรรมข้อหลักวันนี้ คุณคือทรัพย์ล้ำค่าและสำคัญยิ่งสำหรับพระองค์ มิฉะนั้น พระองค์จะไม่ทรงซ่อนชีวิตของคุณไว้กับพระคริสต์ในพระองค์
คำว่า ตายในพระคัมภีร์ หมายถึง การแยกจากกัน
การตายฝ่ายร่างกาย คือ การแยกจากกันของวิญญาณและร่างกาย
การตายฝ่ายวิญญาณ คือ การแยกจากกันของวิญญาณของคุณและพระวิญญาณของพระเจ้า
ก่อนที่คุณจะเชื่อในพระองค์ คุณตายแล้วฝ่ายวิญญาณ คุณถูกแยกจากพระเจ้า
ในวินาทีที่คุณเชื่อในพระองค์ คุณตายแล้วต่อโลก แต่กลับมีชีวิตอยู่ในพระองค์ วิญญาณของคุณอยู่ในพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในคุณ วิญญาณของคุณผูกพันเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์ (๑ คร. ๖:๑๗)
คุณอยู่ในพระคริสต์และพระคริสต์ทรงอยู่ในคุณท่านอยู่ในเราและเราอยู่ในท่าน” (ยน. ๑๔:๒๐)
พระวิญญาณของพระเจ้าประทับในคุณพระวิญญาณ...จะประทับอยู่ในท่าน” (ยน. ๑๔:๑๗)
พระบิดาเจ้าประทับในคุณพระบิดากับเราจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา” (ยน. ๑๔:๒๓)
คุณเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระบิดาและพระบุตรเพื่อให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ และกับข้าพระองค์ด้วย” (ยน. ๑๗:๒๑) และเป็นที่รักของพระบิดาไม่น้อยไปกว่าที่ทรงรักพระเยซูพระองค์ทรงรักเขาเหมือนดังที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์” (ข้อ ๒๓) ความรักที่พระบิดาทรงมีต่อพระบุตรดำรงอยู่ในคุณความรักที่พระองค์ได้ทรงรักข้าพระองค์ จะดำรงอยู่ในเขา ข้าพระองค์อยู่ในเขา” (ข้อ ๒๖) เพราะในสายพระเนตรของพระเจ้า คุณเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่า มีความสำคัญยิ่งต่อพระองค์ และเป็นผู้ที่พระองค์ทรงรัก ในขณะที่คุณเป็นคนบาป ตกอยู่ใต้อำนาจของมาร พระองค์จึงได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเป็นค่าไถ่คุณออกมา พระองค์ทรงซื้อคุณกลับคืนด้วยราคาสูง (๑ คร. ๖:๒๐) พระคริสต์ทรงรับแบกบาป ความตายฝ่ายวิญญาณ ความแช่งสาป ความเจ็บป่วยและความขัดสนไปจากคุณ โดยยอมทนทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน
น่าเสียดายที่เราไม่ทราบว่าพระเจ้าทรงทอดพระเนตรเราอย่างไร เรายังมองตนเองเป็นคนบาป ไร้ค่า สกปรก เราสงสัยว่าทำไมพระเยซูต้องสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อคนไร้ค่าอย่างเรา เราจึงยังคงดำเนินชีวิตต่อไปอยู่ใต้ความบาป ดำเนินอย่างไร้ค่า สกปรก แทนที่จะดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อมั่นในความรักของพระองค์ เรากลับยังคงดำเนินชีวิตด้วยความสงสัย ส่งผลลบต่อการอธิษฐานของเรา ทำให้เราพลาดจากสิ่งสารพัดที่ทรงจัดเตรียม เพราะความรู้สึกไร้ค่านี่เอง เราจึงหาวิธีทรมานตนเองต่างๆ โดยเข้าใจผิดว่า เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว เราจะเรียกร้องพระเมตตา เรียกร้องความสนใจ หรือพระเจ้าอาจจะทรงกลับพระทัยตอบคำอธิษฐานของเรา และความรู้สึกไร้ค่ายังทำให้เราสงสัยในพระสัญญาต่างๆ ทำให้เรามองตนเองไม่สมควรได้สิ่งใดทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่พระบิดาได้ทรงทำให้เราทั้งหลาย สมกับที่จะเข้าส่วนได้รับมรดกด้วยกันกับธรรมิกชนในความสว่าง” (คส. ๑:๑๒) เราคาดหวังชีวิตที่ถูกพระองค์กระหน่ำเล่นงานด้วยความเจ็บป่วย สิ่งเลวร้ายที่จะเกิดทั้งฝ่ายวิญญาณ จิตใจ ร่างกายและทรัพย์สิน เราปล่อยให้มารลัก ฆ่าและทำลายเพราะการขาดความรู้ของเรา โดยเข้าใจว่าเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า บางคนถึงกลับเข้าใจว่าการมีน้ำผลไม้ดื่มเป็นบาป การมีกับข้าวเกินหนึ่งอย่างเป็นความเย่อหยิ่ง ยิ่งคนไหนมีทรัพย์มาก ลอยหน้าลอยตาขับรถมาโบสถ์ เราคาดโทษเขาทันทีว่าต้องตกนรก เราไม่รู้ว่าความเกลียดชังตนเองกำลังทำงานส่งผลให้เกิดความเกลียดชังและการตัดสินผู้อื่น ทำให้เราเองพลาดจากสิ่งที่ทรงจัดเตรียมเพื่อเราในพระคริสต์ พระเจ้าไม่ทรงส่งสิ่งร้ายมาทรมานคุณเพื่อทำให้คุณชอบธรรม มีเพียงพระโลหิตของพระคริสต์และการทนทุกข์ทรมานของพระองค์เท่านั้นที่ทำให้คุณชอบธรรม สาเหตุที่พระบิดาทรงตอบคำอธิษฐานของคุณ เป็นเพราะพระองค์ทรงรักคุณและทรงประสงค์ให้คุณมีความสุข พระเยซูตรัสว่าถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นให้แก่ท่านในนามของเรา ...จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม ...เพราะว่าพระบิดาเองก็ทรงรักท่านทั้งหลาย...“ (ยน. ๑๖:๒๓-๒๗)
หากคุณศึกษาชีวิตของคนทั้งหลายที่เกิดมาเพื่อทำลายโลก คุณจะพบความเกลียดชังที่ขับดันชีวิตของพวกเขาให้ทำลายชีวิตของผู้อื่น คนที่มองตนไร้ค่า เป็นส่วนเกินของแผ่นดินสวรรค์ เป็นที่เกลียดชังจากพระองค์ผู้ประทับบนพระบัลลังก์ก็เช่นกัน จะดำเนินชีวิตด้วยการทำลายทั้งคนรอบข้างและตนเอง การมองตนเองอย่างที่พระบิดาเจ้าทรงทอดพระเนตร การตระหนักถึงความรักยิ่งใหญ่ ความรักเดียวกันกับที่ทรงรักพระเยซู ซึ่งบัดนี้ดำรงอยู่ในวิญญาณของคุณ จะส่งผลให้การดำเนินชีวิตของคุณเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น ตัดสินใจวันนี้ที่จะมองตนเองเป็นที่รัก มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า ตระหนักว่าพระเจ้าทรงซ่อนชีวิตของคุณไว้กับพระคริสต์ในพระองค์ คุณเป็นวิญญาณอันเดียวกันกับพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ คุณจะเติบโตขึ้นในความรักของพระองค์ เกิดผลฝ่ายวิญญาณ คำอธิษฐานได้รับคำตอบโดยไม่ทรมาน และมีประสบการณ์กับชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ
คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ: พระบิดาเจ้า ลูกขอบพระคุณพระองค์ เพราะว่าลูกได้ตายแล้ว และชีวิตของลูกซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระองค์ ลูกสรรเสริญพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

ตั้งมั่นคงอยู่กับพระองค์

และฝ่ายท่านทั้งหลาย การเจิมซึ่งท่านทั้งหลายได้รับจากพระองค์นั้นดำรงอยู่กับท่าน และไม่จำเป็นต้องมีใครสอนท่านทั้งหลาย เพราะว่าการเจิมนั้นได้สอนท่านให้รู้ทุกสิ่ง และเป็นความจริง และไม่ใช่ความเท็จ การเจิมนั้นสอนท่านทั้งหลายแล้วอย่างใด ท่านจงตั้งมั่นคงอยู่กับพระองค์อย่างนั้น ๑ ยน. ๒:๒๗
คุณเคยเห็นคนที่ไม่มั่นคงหรือไม่ เมื่อวานเชื่ออย่าง วันนี้เชื่ออีกอย่าง เราเดาได้ว่าวันพรุ่งนี้เขาก็จะเปลี่ยนความเชื่ออีก ทุกครั้งที่คลื่นคำสอนระลอกใหม่ซัดเข้ามา เขาก็พร้อมจะถูกซัดไปกับคลื่นนั้น
อัครทูตเปาโลกำชับให้ผู้เชื่อระวังลมแห่งคำสอนล่อลวงที่คอยซัดไปซัดมา (อฟ. ๔:๑๔)
จากพระธรรมข้อหลัก ยอห์นเตือนผู้เชื่อเรื่องครูสอนเทียมเท็จ คนเหล่านี้สอนว่า พระเยซูไม่ใช่พระคริสต์ พวกเขาปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร (ข้อ ๒๒-๒๓)
ยอห์นกล่าวว่า การที่ผู้เชื่อจะตั้งมั่นคงอยู่กับพระองค์ได้นั้นจะต้องรับการสอนอยู่เสมอ เป็นการสอนโดยการเจิมซึ่งผู้เชื่อทุกคนได้รับจากพระเจ้า ปัญหาคือผู้เชื่อมากมายไม่รู้จักการเจิม ไม่รู้ว่าตนได้รับการเจิมหรือไม่ และไม่รู้ว่าการเจิมทำสิ่งใดในชีวิต พวกเขาพึ่งเพียงคำสอนจากมนุษย์ จึงพลาด และถูกคำสอนเทียมเท็จล่อลวงพวกเขาออกจากทางแห่งความจริง
ยอห์นกล่าวว่าและฝ่ายท่านทั้งหลาย การเจิมซึ่งท่านทั้งหลายได้รับจากพระองค์นั้นดำรงอยู่กับท่าน
หลายคนเข้าใจว่าการเจิมคืออิทธิพล พลัง ขนลุก การกระทำแปลกๆ เพราะเหตุนี้คนเหล่านั้นจึงพิพากษาคนที่ปราศจากอาการดังกล่าวว่า พวกไม่มีการเจิม
การเจิมคืออะไร เราจะเห็นความเกี่ยวพันกันของการเจิมและพระวิญญาณของพระเจ้าได้ในพันธสัญญาเดิม เมื่อมีการแต่งตั้งกษัตริย์ ผู้เผยพระวจนะหรือปุโรหิต ผู้แต่งตั้งจะเทน้ำมันบริสุทธิ์ลงบนศีรษะของผู้ถูกแต่งตั้ง พระวิญญาณของพระเจ้าจะเสด็จลงเหนือเขาเพื่อประทานฤทธิ์อำนาจในการปรนนิบัติรับใช้
แม้กระทั่งการปรนนิบัติมวลชนขององค์พระเยซูคริสต์ก็เช่นกัน พระองค์ตรัสว่า พระวิญญาณแห่งพระเป็นเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ได้ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับเป็นอิสระ” (ลก. ๔:๑๘)
เราเห็นความเกี่ยวพันของการเจิมและพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ในพันธสัญญาใหม่
จากพระธรรมข้อหลัก ยอห์นกล่าวว่า ผู้เชื่อทุกคนได้รับการเจิมจากพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า ผู้เชื่อจะได้รับพระวิญญาณจากพระเจ้า (ยน. ๑๔:๑๖-๑๗)
ยอห์นกล่าวว่า การเจิมดำรงอยู่กับผู้เชื่อ พระเยซูตรัสว่า พระวิญญาณจะอยู่กับผู้เชื่อ (ยน. ๑๔:๑๖-๑๗)
ยอห์นกล่าวว่า การเจิมสอนให้รู้ทุกสิ่ง พระเยซูตรัสว่า พระวิญญาณสอนให้รู้ทุกสิ่ง (ยน. ๑๔:๒๖)
ยอห์นเริ่มต้นกล่าวว่าการเจิมดำรงอยู่กับท่านและกล่าวลงท้ายว่าท่านจงตั้งมั่นอยู่กับพระองค์
คำว่า ดำรงอยู่กับและ ตั้งมั่นอยู่กับเป็นคำเดียวกันในภาษากรีก
อีกนัยหนึ่ง ยอห์นกล่าวว่า การเจิมอยู่กับท่าน ท่านจงอยู่กับพระองค์ยอห์นเรียกการเจิมว่า พระองค์
การเจิมไม่ใช่อิทธิพล ไม่ใช่พลัง ไม่ใช่อาการ การเจิมคือบุคคล การเจิมหมายถึงพระวิญญาณของพระเจ้า
เพราะคุณมีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ภายในเมื่อคุณเชื่อในพระคริสต์ คุณจึงมีการเจิมของพระเจ้าอยู่ภายใน
แต่แทนที่เราจะอยู่กับการเจิม รับการสอนจากการเจิม เพราะเราไม่ทราบบทบาทของการเจิมในชีวิต เราจึงปล่อยให้ลมแห่งคำสอนล่อลวงซัดไปซัดมา ความเชื่อเราจึงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาทุกสัปดาห์ แล้วแต่แนวโน้มที่กำลังเป็นที่นิยมจะพาไป เราไม่สนใจที่จะใช้เวลาเงียบสงบลง อธิษฐานทูลขอให้การเจิมทรงสอน ประทานความสว่างและความเข้าใจ และเปิดพระคัมภีร์อ่านช้าๆ ด้วยตัวของเราเอง ยอห์นกล่าวว่าไม่จำเป็นต้องมีใครสอนท่านทั้งหลายไม่ได้หมายความว่าคริสเตียนไม่ต้องฟังคำเทศนาสั่งสอนอีกต่อไป เพราะอาจารย์หรือผู้สอนเป็นหนึ่งในของประทานที่พระเจ้าประทานแก่คริสตจักรของพระองค์ (อฟ. ๔:๑๑) แต่ยอห์นกำลังสอนให้ผู้เชื่อรู้จักรับการสอนจากการเจิมภายใน เมื่อคุณอ่านพระวจนะเป็นส่วนตัว หรือฟังคำเทศนา พระองค์จะทรงนำไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยน. ๑๖:๑๓) พระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของพระคริสต์มาสำแดงแก่คุณ (ข้อ ๑๔) พระองค์จะทรงเตือนจากภายในให้คุณทราบเมื่อคุณได้ยินคำสอนที่ไม่ถูกต้อง
ดังนั้นอย่าแปลกใจหากคุณพบชาวนาจบประถมสามแต่กลับเข้าใจเรื่องฝ่ายวิญญาณลึกซึ้งกว่าดอกเตอร์ซึ่งจบด้านศาสนาโดยตรง
ตัดสินใจวันนี้ที่จะตั้งมั่นคงอยู่กับการเจิมโดยการรับการสอนจากพระองค์ พระวิญญาณจะทรงนำคุณไปสู่ความจริงทั้งมวล คุณจะแยกแยะออกว่าสิ่งใดจริงสิ่งใดเท็จ คุณจะตั้งมั่นคงและพ้นจากการถูกซัดไปซัดมาด้วยลมแห่งคำสอนล่อลวง คุณจะได้รับความรู้ ความสว่าง การสำแดงจากเบื้องบน และจะทรงนำคุณให้มีประสบการณ์กับชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ
คำกล่าวตามด้วยความเชื่อ: ฝ่ายข้าพเจ้า การเจิมซึ่งข้าพเจ้าได้รับจากพระองค์นั้นดำรงอยู่กับข้าพเจ้า และไม่จำเป็นต้องมีใครสอนข้าพเจ้า เพราะว่าการเจิมนั้นได้สอนข้าพเจ้าให้รู้ทุกสิ่ง และเป็นความจริง และไม่ใช่ความเท็จ การเจิมนั้นสอนข้าพเจ้าแล้วอย่างใด ข้าพเจ้าจะตั้งมั่นคงอยู่กับพระองค์อย่างนั้น ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

ผ้าคลุมเปิดออกแล้วในพระคริสต์

แต่จิตใจของเขาแข็งกระด้างไปเสีย เพราะตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเขาอ่านพันธสัญญาเดิม ผ้าคลุมนั้นยังคงอยู่มิได้เปิดออก แต่ผ้าคลุมนั้นเปิดออกแล้วโดยพระคริสต์ - ๒ คร. ๓:๑๔

คุณเคยรู้สึกไหมว่าบางครั้งอ่านพระคัมภีร์แล้วไม่เข้าใจ ยิ่งคุณอ่านเพราะเป็นหน้าที่ยิ่งไปกันใหญ่ บางครั้งหลับใน คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกเช่นนั้นอีกต่อไป พระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ประทานให้กับเฉพาะกลุ่มคนที่มีความรู้พิเศษเท่านั้น แต่ประทานให้กับทุกคน เป็นไปได้ที่คนมีการศึกษามากกลับอ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่คนที่มีการศึกษาน้อยตามมาตรฐานโลกกลับเข้าใจ จากพระธรรมข้อหลักวันนี้ ชาวยิวอ่านพระวจนะของพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะจิตใจของพวกเขาแข็งกระด้าง จิตใจที่แข็งกระด้างจะทำให้ไม่เข้าใจพระวจนะและทำให้พระวจนะไม่ฝังลงในหัวใจ (มธ. ๑๓:๑๙) พระเจ้าประทานพระบัญญัติสิบประการแด่โมเสส เมื่อโมเสสนำพระวจนะลงมา ผิวหน้าท่านทอแสง ประชาชนเกิดกลัวไม่กล้าเข้ามาหาท่าน โมเสสต้องคลุมหน้าท่านเอาไว้ ชาวยิวรับพระวจนะที่เป็นตัวอักษรจารึกลงบนหิน แต่ไม่สามารถรับพระสิริที่มากับพระวจนะได้ พวกเขาเห็นแค่พื้นผิว แต่พวกเขาไม่เห็นลึกลงภายใน แม้โมเสสจากไป ผ้าคลุมนั้นยังคงอยู่ ยังคงปิดบังใจของพวกเขาไว้ (๒ คร. ๓:๑๕) แต่ทุกคนที่หันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมก็จะเปิดออก (ข้อ ๑๖) หากเวลานี้คุณอยู่ในพระคริสต์ ไม่มีผ้าคลุมปิดบังใจของคุณอีกต่อไป คุณจึงมองพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่อยู่ในพระวจนะได้ (ข้อ ๑๘) ในขณะที่คุณได้รับความสว่าง ได้รับพระสิริ ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น มีศักดิ์ศรีที่มาจากพระวิญญาณของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ (ข้อ ๑๘) เวลานี้ความสว่างจากพระเจ้าที่ทอแสงบนใบหน้าโมเสสได้ส่องเข้ามาในหัวใจของคุณแล้ว เพื่อให้คุณมีความสว่างซึ่งมาจากพระสิริของพระเจ้า (๒ คร. ๔:๖) ความสว่างภายในคุณคือความสว่างแห่งความรู้ วันนี้คุณไม่มีหัวใจที่แข็งกระด้าง พระเจ้าทรงนำเอาใจหินออกไปจากคุณ คุณสามารถอ่านพระวจนะ ได้รับความสว่างและเข้าใจได้ จงเปลี่ยนมุมมองของคุณใหม่ อย่ามองว่าคุณกำลังอ่านตัวอักษรที่จารึกบนหิน อย่ามองว่าเป็นหน้าที่ อย่ามองว่าต้องจบสูงเสียก่อนจึงจะเข้าใจ สมัยพระเยซู คนที่จบศาสนศาสตร์ชั้นสูงมากมายเดินผ่านพระเยซู ผู้เป็นพระเจ้าที่พวกตนนับถือซึ่งเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ยังไม่รู้เลยว่าพระองค์ทรงเป็นใคร และกลับพยายามฆ่าพระองค์โดยอาศัยพระวจนะที่จารึกไว้นอกหัวใจ แต่จงเชื่อว่าเพราะคุณอยู่ในพระคริสต์ผ้าคลุมได้ถูกเปิดออกแล้ว จงเชื่อว่าทุกครั้งที่คุณอ่านพระวจนะ ความสว่าง พระสิริของพระเจ้ากำลังทอแสงแรงกล้าภายในวิญญาณของคุณยิ่งกว่าบนใบหน้าของโมเสส (ข้อ ๘-๑๑) คุณจะได้รับการสอนโดยตรงจากพระวิญญาณของพระเจ้า แม้ในพระคริสต์จะไม่มีผ้าคลุม แต่ในศาสนายังคงมีผ้าคลุมส่งทอดกันมา ผ้าคลุมศาสนาจะบังใจเราจากพระสิริของพระเจ้า บังใจเราจากสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้เพื่อผู้เชื่อทุกคนผ่านทางพระเยซู ผ้าคลุมศาสนาจะบอกเราว่า “ยุคอัศจรรย์ ยุคของการรักษา ยุคของการจัดเตรียม ยุคของการมีชัยเหลือล้น ยุคของพระพรนานาประการได้สูญสิ้นไปกับอัครทูตคนสุดท้าย” ตัดสินใจวันนี้ อย่าปล่อยให้ผ้าคลุมเหล่านี้ปิดบังใจคุณจากพระวจนะของพระเจ้า จงตรวจสอบทุกความเชื่อของคุณโดยพระวจนะ อย่าเชื่อตามคำสอนตกทอด แต่จงเชื่อตามพระวจนะของพระเจ้า ทำเช่นนั้นแล้ว ผ้าคลุมศาสนาจะถูกปลด คุณจะได้รับความสว่าง ความเข้าใจ ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น มีศักดิ์ศรีที่มาจากพระวิญญาณของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และด้วยความเชื่อคุณจะได้รับทุกสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ในพระคริสต์และจะมีประสบการณ์กับชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ

คำกล่าวด้วยความเชื่อ: จิตใจของข้าพเจ้าอ่อนโยน วันนี้ เมื่อข้าพเจ้าเขาอ่านพระวจนะ ข้าพเจ้าอ่านโดยปราศจากผ้าคลุม เพราะผ้าคลุมนั้นเปิดออกแล้วโดยพระคริสต์
เสรีภาพในพระคริสต์


ตามคำแนะนำของพี่น้องจอมปลอม ที่ได้ลอบเข้ามา เพื่อจะสอดแนมดูเสรีภาพซึ่งเรามีเพราะพระเยซูคริสต์ พวกเขาหวังจะเอาเราไปเป็นทาส – กท. ๒:๔

เสรีภาพคือสิ่งที่ถูกเรียกร้องจากมนุษย์ทั่วโลกตลอดทุกยุคทุกสมัย แม้วันนี้ระบบทาสจะหมดไป แต่ภายในหัวใจมนุษย์ยังคงเป็นทาสบาปไม่เปลี่ยนแปลง พระเยซูตรัสว่า “ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป” (ยน. ๘:๓๔)

จากพระธรรมข้อหลัก ผู้เชื่อทุกคนมีเสรีภาพเพราะพระคริสต์

พระเยซูตรัสว่า “เหตุฉะนั้นถ้าพระบุตรทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริงๆ” (ยน. ๘:๓๖)

ปัญหาคือ เราไม่ทราบว่าพระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเป็นไทแล้วจริงๆ เราจึงยังคงปล่อยให้บาปครอบงำเราต่อไปผ่านความคิด คำพูดและการกระทำของเรา เราเลื่อนวันปลดปล่อย วันแห่งเสรีภาพออกไปโดยไม่มีกำหนด แม้กระทั่งคำอธิษฐานของเรายังสื่ออย่างชัดเจนว่าเราไม่เชื่อว่าเราเป็นไทแล้วจากบาป มารและความตายฝ่ายวิญญาณ ทั้งๆ ที่เสรีภาพได้เข้ามาภายในเราในวินาทีที่เรารับพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และในวินาทีเดียวกันนั้น เรายังได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากความตายฝ่ายวิญญาณ พ้นจากบาปและอำนาจของมาร พ้นจากบัญญัติต่างๆ ที่ผูกมัดและคำแช่งสาป

ในวินาทีที่พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาประทับภายใน เสรีภาพจากเบื้องบนได้เข้ามาภายในเช่นกัน (๒ คร. ๓:๑๗)

แต่เรากลับละเลยเสรีภาพที่เราได้มา แม้เราจะพ้นข้อผูกมัดและคำสาปแช่ง เรากลับตั้งกฎผูกมัดตนเองขึ้นมามากมาย และเมื่อเราทำไม่ได้ เรามองว่าพระเจ้าจะทรงเล่นงานและสาปแช่งเรา

หากวันนี้เราตื่นไม่ทันจนพลาดเวลาที่เราตั้งเอาไว้เพื่อใช้กับพระองค์ เราทนไม่ไหวกับของหวานแสนอร่อยที่เพื่อนหยิบยื่นให้จนเราพลาดจากการอดอาหารวันที่สี่สิบพอดี เราคุ้มคลั่งกับความผิดพลาดจนแทบเสียสติ เราหวาดกลัวว่าพระเจ้าจะทรงสาปแช่งที่เราทำไม่สำเร็จ ในขณะที่ผู้เชื่ออื่นๆ อีกมากมายยังคงใช้ชีวิตตามปกติ มีความสุข มีความชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า และยังมีประสบการณ์ดีๆ กับพระองค์มากมาย และได้รับคำตอบสำหรับคำอธิษฐานอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องทรมานตนเอง

พระคริสต์ทรงโปรดให้เราเป็นไทแล้ว อย่ากลับเป็นทาสกฎที่ตนสร้างขึ้นกดดันตนเองอีกเลย (กท. ๕:๑) มีเพียงกฎเดียวจากพระเจ้าที่ปกครองเรา คือกฎแห่งความรักซึ่งเป็นกฎแห่งเสรีภาพ

สมัยที่ยังไม่เลิกระบบทาส ทาสมีชีวิตอยู่โดยปราศจากเสรีภาพ ซึ่งตรงข้ามกับคนที่เป็นไท แต่ในพระคริสต์ การที่เรามีเสรีภาพ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำอะไรก็ได้ พระคัมภีร์เตือนเราไม่ให้เอาเสรีภาพ “เป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง” (กท. ๕:๑๓) หรือ “เป็นข้ออ้างเพื่อจะทำความชั่ว” (๑ ปต. ๒:๑๖)

คุณเคยได้ยินใครสักคนอ้างหลังทำผิดหรือไม่ว่า “ยุคนี้ไม่มีการพิพากษาแล้ว ฉันเป็นไท ฉันจะทำอะไรก็ได้”

ความจริงคือ การอ้างเสรีภาพเพื่อปล่อยตัวตามเนื้อหนังและเพื่อจะทำชั่ว คือการกลับไปเป็นทาสเนื้อหนัง บาปและมารอีกครั้ง และในที่สุดเขาจะต้องพบกับการพิพากษาและต้องรับผลจากการกระทำของตน

บางคนอ้าง “พระคัมภีร์ไม่ห้ามสูบกัญชา ฉันเป็นไท สูบได้” แต่หารู้ไม่ว่า ในขณะที่สูบอยู่นั้น ถ้าบ้องหลุดมือตกน้ำ ก็ได้รู้กันทันทีว่าเขาเป็นไทหรือกำลังเป็นทาสของมัน

อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย” (๑ คร. ๖:๑๒)

สิ่งที่คุณทำจนติดเป็นนิสัยและเลิกไม่ได้ แม้ไม่มีข้อห้ามเจาะจงไว้ในพระคัมภีร์ แต่หากสิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์ และทำให้คุณตกอยู่ใต้อำนาจของมัน คุณได้พ้นจากเสรีภาพและกลับตกเป็นทาสสิ่งที่เป็นของโลก

พระคัมภีร์กำชับให้เราใช้เสรีภาพเพื่อ “รับใช้กันและกันด้วยความรัก” (กท. ๕:๑๓) และ “ดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า” (๑ ปต. ๒:๑๖)

เราพ้นจากการเป็นทาสรับใช้บาปและมาร เพื่อเป็นทาสรับใช้พระเจ้าและรับใช้พี่น้องทุกคน นั่นคือเสรีภาพที่แท้จริง (๑ คร. ๗:๒๒)

พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของผู้ดำเนินชีวิตอย่างมีเสรีภาพ แต่ขณะเดียวกัน พระองค์ไม่ทรงกระทำสิ่งใดตามอำเภอใจ แต่ทรงรับสภาพทาส รับใช้พระเจ้าและปรนนิบัติมวลชนจนถึงความมรณาที่กางเขน (ฟป. ๒:๕-๘)

คุณเลือกเองว่าจะเป็นไทแท้หรือไทเทียม จะเป็นทาสบาปหรือทาสความชอบธรรม จะเป็นทาสมารหรือเป็นทาสพระเจ้า จะรับใช้เนื้อหนังหรือจะรับใช้พี่น้อง

ตัดสินใจวันนี้ที่จะตระหนักในเสรีภาพที่คุณได้รับในพระคริสต์ ตระหนักว่าคุณเป็นไทจริงๆ จงใช้เสรีภาพเพื่อรับใช้พระเจ้าและพระกายของพระคริสต์ แล้วคุณจะดำเนินชีวิตอย่างไทแท้ พ้นจากนิสัยติดตัว บาป มารและความตายฝ่ายวิญญาณที่พยายามครอบงำ และจะมีประสบการณ์กับเสรีภาพที่แท้จริงและชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ

คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ: พระบิดาเจ้า ลูกขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงกระทำให้ลูกเป็นไท ลูกขอบพระคุณพระองค์สำหรับเสรีภาพที่เราลูกมีในพระคริสต์ ลูกจะดำเนินชีวิตอย่างผู้เป็นไทแท้ โดยการเป็นทาสรับใช้พระองค์และพี่น้องทุกคน ลูกสรรเสริญพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

เรื่องสั้น-รักของพ่อ..."รอยเลือดบนปกหนังสือ" โดย: ทิวสน ชลนรา

"พี่นันท์...พ่อเสียแล้ว!"
เสียง สั่นเครือจากปลายสาย สิ้นคำก็ปล่อยโฮออกมา ทำเอานันทกรถึงกับใบหน้าร้อนผ่าว มันเหมือนฟ้าผ่าลงมาที่กลางใจ เขานิ่งอึ้งประหนึ่งว่าหัวใจจะหยุดเต้น กับข่าวร้ายที่ได้รับแจ้งจากน้องสาว
ปลายสายวางไปนานแล้ว แต่ชายหนุ่มยังยืนนิ่ง งุนงงกับเหตุการณ์............. หลัง จากไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านเป็นเวลานาน และที่จำเป็นต้องระเห็จมาอยู่กรุงเทพฯ ก็เพราะความขัดแย้งทางความคิดอย่างรุนแรงระหว่างเขาและพ่อ "แก มันลูกไม่รักดี!!!...เป็นนักเขียนจะเอาอะไรกิน หา! ....รายได้พอยาไส้ซะที่ไหน...อีกหน่อยมีลูกมีเมียไม่อดตายกันทั้งบ้านเรอะ!" ผู้เป็นพ่อตวาดเมื่อรู้ถึงความดื้อดึง ที่เขาจะเลือกเดินในสายอาชีพนักเขียน
"แต่ ผมรักงานนี้นะครับพ่อ ผมคิดว่ามันมีประโยชน์ที่เราได้ปลูกฝังความคิด คุณธรรม จริยธรรมที่ดีให้กับคนที่อ่านหนังสือ สังคมจะได้พัฒนาไงครับพ่อ" ชายหนุ่มให้เหตุผล "เชอะ....มาทำเป็นอุดมการณ์สูงส่ง ห่วงใยสังคม” พ่อเอ่ยน้ำเสียงเชิงประชด “ฉันกลัวแต่แกน่ะจะเอาตัวไม่รอด ก่อนสังคมจะพัฒนาล่ะไม่ว่า...ฟังนะนันท์ ถ้าแกขืนไม่เลิกคิดจะเป็นนักเขียนไส้แห้งล่ะก็ แกกับฉัน ก็ไม่ต้องมาเห็นหน้ากัน!!"

พ่อยื่นคำขาด มันเหมือนถูกเหล็กแหลมทิ่มแทงใจชายหนุ่ม กับท่าทีไม่ยอมเข้าใจของผู้บังเกิดเกล้า แต่สายตาที่มองทอดไกลออกไปในภายหน้าทำให้ไม่อาจเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตได้
นับแต่วันนั้น พ่อก็เฉยชาไม่พูดจากับเขา นันทกร ทนความอึดอัดอยู่ 4 เดือน จึงฝากน้องสาวและน้องชายดูแลพ่อ แล้วมุ่งหน้าเข้ามาทำงานที่กรุงเทพฯ เป็นนักเขียนอิสระ ส่งงานเขียนตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์และนิตยสารหลายฉบับ ส่งเงินไปช่วยทางบ้านสม่ำเสมอ นานๆ ครั้งจะโทรศัพท์ไปพูดคุยกับน้องๆ แม้หลายครั้งจะขอคุยกับพ่อ แต่ก็ถูกปฏิเสธเสมอ เป็นความเจ็บปวดหนึ่งที่ฝังลึกคอยบั่นทอนกำลังใจเขาตลอดมา....

ทว่าชายหนุ่มได้รับการฟื้นใจเสมอ เมื่อนึกถึงแม่ที่จากไปเมื่อหลายปีที่แล้ว...แม่รักการอ่าน... แม่อ่านหนังสือทุกประเภท และแม่ก็เป็นนักเขียน แต่พ่อไม่เคยสนับสนุนแม่ และด่วนสรุปว่าสาเหตุที่แม่เป็นโรคเครียดและเส้นเลือดฝอยในสมองแตกจนเป็น อัมพาต แล้วเสียชีวิตในที่สุด...ก็เพราะอาชีพนักเขียน!
กระนั้น งานเขียนของแม่ก็ยังคงทำรายได้จากการพิมพ์ซ้ำ และได้ค่าลิขสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง กลายเป็นทุนการศึกษาให้เขาและน้องๆ อย่างเพียงพอ เพราะลำพังเงินเดือนจากหน้าที่การงานเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยของพ่อกับการ ที่ต้องเลี้ยงดูลูก 3 คนให้ได้อยู่อย่างสุขสบาย มีการศึกษาสูงๆ คงไม่ใช่เรื่องง่าย เว้นแต่พ่อต้องเหนื่อยมากขึ้นด้วยการทำงานเสริม แต่นี่เพราะรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำจากงานเขียนของแม่โดยแท้ ครอบครัวจึงไม่ขัดสน...รู้ทั้งรู้ แต่พ่อก็ยังคงมีอคติกับอาชีพนักเขียนไม่แปรเปลี่ยน
จนนับ 7 ปี ที่นันทกรต้องออกจากบ้านมา และได้รับข่าวร้ายในวันนี้ เมื่อพ่อจากไปอย่างกะทันหัน!




ชายหนุ่มจัดเสื้อผ้าลงกระเป๋า 2-3 ชุด รุดกลับบ้านที่หัวหิน ด้วยความรู้สึกหดหู่เสียใจ น้ำใสๆ คลอหน่วยอยู่ตลอดเวลา แม้ไม่ยอมจะเอ่อไหล ทว่ามันไหลย้อนกลับลงไปท่วมใจ พยายามนึกว่า มันเป็นเพียงความฝัน...ฝันร้ายที่จะหายไปเมื่อตื่น และพยายามขับไล่ความขมขื่นใจที่ฝังลึกเสมอมาว่า พ่อไม่เคยเข้าใจ พ่อไม่เคยรัก...
สิ่ง ที่เขาอยากทำมากที่สุดตอนนี้คือ อยากกลับไปถึงบ้านเร็วที่สุด เพื่อกล่าวความในใจทุกสิ่งต่อพ่อ และบอกว่าเขายังรักเคารพพ่อเสมอ แม้ว่าในความเป็นจริง ท่านไม่อาจได้ยิน...


* * * * *


"นั่ง สินันท์..." หญิงวัยกลางคน ผายมือเชิญนันทกรนั่งเก้าอี้ตรงข้าม ขยับแว่นหนา สีหน้าเรียบเฉย...ความเงียบในห้องบรรณาธิการบริหาร ทำใหเขาใจเต้นแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ
"พี่เรียกผมมาพบ มีอะไรให้ช่วยเหรอครับ" เขาเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ
" อืมม์...พี่มีข่าวดีจะบอกให้นันท์ทราบน่ะ..." ว่าพลางระบายยิ้ม ชื่นชมชายหนุ่ม "ก็หลังจากรวมเรื่องสั้น 'บ้านอุ่นรัก' ของนันท์วางขายทั่วประเทศ ทางสายส่งแจ้งมาว่าที่พิมพ์เฟิร์ส ออเดอร์ไป 5,000 เล่ม ตอนนี้จะต้องเพิ่มสต๊อกแล้วล่ะ...ถือว่าแรงมากเลยนะนันท์ กับเวลาสั้นๆ แค่ 3 เดือนเอง"
"เหรอ ครับ..." ชายหนุ่มยิ้มกว้าง "ผมต้องขอบคุณพี่มากครับ ที่กรุณาให้โอกาสกับพ็อคเก็ตบุ๊คเล่มแรกของผม..แล้วก็น้องๆ ทีมประชาสัมพันธ์ด้วยครับ ที่ช่วยส่งข่าวตามสื่อต่างๆ..อีกอย่างผมว่าการจัดงานเปิดตัวที่ ลงทุนมากขนาดนั้น ก็มีผลมากนะครับ"

"พี่ ว่า...นั่นน่ะ แค่องค์ประกอบย่อย...เพราะถ้าตัวเนื้องานไม่เป็นที่พอใจ คนอ่านไม่ชอบ ไม่บอกต่อ และไม่เข้าตานักวิจารณ์ ก็คงไม่มีใครเขาสนับสนุน ไม่มีใครเขาเชียร์หรอก...ที่พี่เรียกนันท์มาก็จะบอกเรื่องนี้ อ้อ..! แล้วเรื่องค่าเช่าลิขสิทธิ์จากการพิมพ์ซ้ำครั้งที่ 2 และครั้งต่อๆ ไปนี่ นันท์จะได้เพิ่มจาก 10% เป็น 15% จากยอดพิมพ์นะ"
" ขอบคุณพี่มากครับที่กรุณา" ชายหนุ่มค้อมศีรษะพร้อมยกมือไหว้ หัวใจพองโต มีความสุขกว่าครั้งไหนๆ เมื่อมีสิ่งมาชี้ความสำเร็จบนเส้นทางนักเขียน จนส่งเขาไต่ขึ้นชั้นนักเขียนระดับแนวหน้า โดยนำเสนองานเขียนเชิงปรัชญาการดำเนินชีวิต เพื่อส่งเสริมจริยธรรมอันดีต่อสังคม



ไม่ ถึงหนึ่งชั่งโมงต่อมา นันทกรก็นั่งอบู่บนรถประจำทางปรับอากาศ มุ่งหน้าสู่ภูมิสำเนา แววตาหม่นเศร้าทอดผ่านออกไปนอกกระจกใส ทว่าหาได้สนใจกับทิวทัศน์ข้างทางไม่...ความดีใจในวันก่อนถูกลบกลบด้วยข่าว ร้ายในวันนี้...ความคำนึงเก่าๆ ได้ฉายภาพชัดขึ้นอีกครั้ง...
นับ แต่แม่จากไป ท่าทีของพ่อที่ขัดแย้ง ขัดขวางกับความมุ่งมั่นของเขา ที่เลือกเอาดีในอาชีพนักเขียนตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย ความขมขื่นฝังลึกถมทับในใจเขาตลอดมา บางขณะก็นึกน้อยใจ เพราะดูเหมือนว่าพ่อจะจงเกลียดจงชังเขามากกว่าน้องทั้งสอง ที่พ่อตามใจมิเคยข้องขัด บางครั้งนึกไกลไปว่า เขาอาจจะไม่ใช่ลูกของพ่อก็เป็นได้... แต่นั่นก็เพียงความคิด เพราะจิตสำนึกส่วนลึกของเขายังเคารพนบนอบต่อท่านเสมอ

การจากไปของพ่อ นำมาซึ่งความอาลัย...ความ รักความผูกพันได้ละลายความรู้สึกด้านมืดให้สว่าง ขึ้น นึกเสียดาย...เสียใจ...ที่ยังมิทันได้อยู่ใกล้ให้ท่านได้เห็น และรับรู้ความสำเร็จบนเส้นทางที่เขาเลือก ว่าลูกของพ่อได้เดินตามรอยของแม่ และลูกของพ่อทำได้!
ชาย หนุ่มผล็อยหลับไปแต่เมื่อใดไม่รู้...มารู้สึกตัวตื่นเมื่อได้ยินเสียงแอร์ บัสเตือนให้ผู้โดยสารเตรียมตรวจตราสัมภาระ...รถได้มาถึงปลายทางแล้ว


บ้านไม้สองชั้น ซ่อนตัวท่ามกลางแมกไม้เขียวครึ้มร่มรื่น แม้อาณาบริเวณไม่ถึงกับกว้างใหญ่นัก แต่มันอบอวลไปด้วยความรัก...กับครอบครัวเล็กๆ ที่สร้างชีวิตของชายหนุ่มให้เติบใหญ่ขึ้น...เย็นวันนี้ภายในบ้านผู้คนพลุก พล่าน ด้วยว่าบรรดาญาติสนิท เมื่อทราบข่าวการจากไปของพ่อ ก็มาช่วยเป็นธุระในเรื่องต่างๆ ทันทีที่น้องสาวคนโตเห็นพี่ชายก้าวพ้นประตูเข้าบ้าน ก็วิ่งโผเข้าหา กอดซบอกสะอื้นไห้ ชายหนุ่มกอดประคอง ไล้ผมแผ่วเชิงปลอบใจ ขณะที่เขาเองก็ยากที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้
หลัง จากเก็บสัมภาระ และทักทายญาติๆ ถ้วนทั่ว นันทกรก็ชวนน้องสาวปลีกตัวมานั่งที่ซุ้มชิงช้าหน้าบ้าน เพื่อพูดคุย ถามไถ่รายละเอียดถึงเหตุการณ์ที่พรากพ่อจากไป
"พ่อ โดนรถชนที่ตลาดเมื่อเช้าตอนกำลังข้ามถนนใหญ่...เจี๊ยบกับจิ๋วกำลังซื้อ กับข้าวอยู่ฝั่งตลาดสด" น้องสาวเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย "แล้วพ่อข้ามถนนไปทำอะไรอีกฝั่งล่ะ" ผู้เป็นพี่ชายซัก "ตอน แรก พ่อบอกแต่ว่า จะไปซื้ออะไรฝั่งโน้นหน่อย ให้เจี๊ยบกับจิ๋วซื้อของเสร็จแล้วรออยู่ฝั่งนี้ สักพักก็ได้ยินเสียงรถเบรกดังลั่น แล้วก็มีคนตะโกนว่า มีรถบัสชนคน... ... พอเจี๊ยบกับจิ๋ววิ่งไปดู ถึงรู้ว่าเป็น..พ่อ" หญิงสาวนิ่งไปครู่หนึ่ง พยายามข่มเสียงสั่นเครือให้เป็นปกติ แต่ก้อนสะอื้นมันจุกอยู่ที่คอ
"คน ที่ชนเขารีบช่วยพาไปส่งโรงพยาบาล เขาบอกว่าตอนขับรถมาถึงหน้าตลาด เห็นพ่อกำลังเดินข้าม เขาก็กดแตรเตือน ตอนแรกพ่อดูเหมือนจะหยุด แต่อยู่ๆ ก็ล้มลงมาข้างหน้า เขาเบรกไม่ทันเลยชนพ่อหัวน็อคพื้น พ่อคงจะหน้ามืดเพราะโรคความดันต่ำ..เลยโดยชน..
"... พอไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่รีบส่งเข้าห้องฉุกเฉิน ซัก 20 นาที ก็มีคนออกมาบอกว่า..พ่อเสียแล้ว ปั๊มหัวใจเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น--เจี๊ยบ..เจี๊ยบเสียใจที่ไม่ได้ดูแลพ่อให้ดี ฮืออออ..." หญิงสาวปล่อยโฮออกมาอย่างเต็มกลั้น ผู้เป็นพี่กอดกระชับน้องสาวไว้ "อย่าโทษตัวเองเลยนะเจี๊ยบ" ว่าพลางลูบหลังแผ่ว "พี่ว่าคงถึงเวลาที่พ่อจะได้พักผ่อนน่ะ" " พี่รู้มั้ย...ตลอดเวลาที่พี่ไม่อยู่ พ่อก็บ่นถึงพี่...เป็นห่วงเรื่องอยู่เรื่องกิน...กลัวแต่พี่จะลำบาก เรื่องสั้นของพี่ลงที่ไหน ถ้าพ่อรู้ รึใครมาบอก พ่อจะซื้อแล้วเก็บใส่ตู้ไว้อย่างดี บางทียังซื้อหนังสือไปแจกเพื่อนพ่อเลย" ชายหนุ่มได้ฟังคำแล้ว รู้สึกจุกแน่นที่คอ น้องสาวผละจากอ้อมกอด...จ้องตาพี่ชาย "พี่ รู้มั้ย...เมื่อเช้านี้ที่พ่อข้ามถนนไปอีกฝั่งแล้วโดนรถชน...พ่อไปทำไม" น้องสาวถามเสียงสั่นเครือ ขาดเป็นห้วง น้ำตายังพรากไหลไม่ขาดสาย ชายหนุ่มจดจ่อรอฟังคำตอบ "ตอนที่พาพ่อส่งโรงพยาบาล พ่อเพ้อเรียกหาเจี๊ยบ จิ๋ว และพี่ตลอดทาง สักพักพ่อก็หมดสติ แต่พ่อยังกอดหนังสือเล่มหนึ่งแนบอกไว้แน่น" "เล่มนี้ไงพี่" จิ๋วน้องชายเอ่ย พร้อมยื่นหนังสือเล่มหนึ่งมาให้............................. มันคือหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คปกสีขาว...ภาพปกสีน้ำรูปบ้าน รายรอบด้วยแมกไม้ร่มรื่น...ทว่าเปรอะเลอะด้วยสีแดงคล้ำ...สีของเลือดที่เริ่มจะแห้ง... ชายหนุ่มพยายามเพ่งมองภาพบนปกหนังสือที่กำลังพร่าเลือน..ด้วยว่าน้ำตาได้เอ่อท้นจนล้นสองตาโดยไม่รู้ตัว เขาค่อยๆ อ่านข้อความบนปกหนังสือ ที่มันดังก้องในใจ เป็นเสียงที่มีความหมาย และไพเราะที่สุดกับความรู้สึกที่พ่อมีต่อเขา...

รวมเรื่องสั้นสร้างสรรค์ โดยนักเขียนคลื่นลูกใหม่แห่งยุค
"บ้านอุ่นรัก" โดย...นันทกร

ชายหนุ่มปล่อยโฮออกมาเพราะสุดที่จะกลั้น...สามพี่น้องกอดกันร่ำไห้กับเย็นย่ำอันแสนเศร้าของครอบครัวที่ไร้เสาหลัก .................................. บัดนี้นันทกรได้ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า พ่อมิเคยขาดแคลนความรัก...มิเคยรังเกียจ ดูแคลน ชิงชังเขาแม้แต่น้อย แท้จริง เขายังคงเป็นลูกที่พ่อรักและภาคภูมิใจ แม้ในความไม่เข้าใจบางขณะ...
แต่พ่อ ยังรักเขาเสมอ...มิเคยเปลี่ยนแปลง...
"บุตรชายของเราเอ๋ยจงฟังคำเตือนของพ่อเจ้าและอย่าทิ้งคำสั่งสอนของแม่เจ้า เพราะทั้งสองนั้นเป็นมงคลงามสวมศีรษะของเจ้าเป็นจี้ห้อยคอของเจ้า" (สุภาษิต 1: 8-9)

8 มี.ค. 2551

อะไรสำคัญที่สุด



อะไรสำคัญที่สุด

(โดย ริก วอร์เรน)จาก Ministry Tool Box 31/08/2005ฉบับที่ 222 What Matters Most

แปลโดย อรุณี วงษ์กรวรเวช สมาชิกคริสตจักรสาธร

เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก บทเรียนที่สำคัญที่สุดที่พระองค์ต้องการให้คุณได้เรียนรู้บนโลกนี้ก็คือ จะรู้จักรักผู้อื่นอย่างไร เพราะว่าความรักนี้เอง ทำให้เราเป็นเหมือนพระองค์มากที่สุด ดังนั้น ความรักจึงเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของพระบัญญัติทุกข้อที่พระองค์ประทานให้เรา “กฎเกณฑ์ทั้งหมดของพระองค์สามารถสรุปออกมาได้สั้นๆคือ ‘จงรักผู้อื่นเหมือนรักตนเอง’
สำหรับผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณแล้ว ประโยคดังกล่าวยิ่งทวีความสำคัญเพิ่มขึ้นไปอีก. ระดับความรักที่ผู้คนในโบสถ์ของคุณมีให้ต่อกันและกันนั้นเป็นตัววัดสุขภาพของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของสมาชิกได้เป็นอย่างดีที่สุด. อาจารย์เปาโลถึงกับย้ำว่า “ไม่ว่าข้าพเจ้าจะกล่าวอะไร จะเชื่ออะไร หรือทำอะไร แต่ถ้าทำโดยปราศจากซึ่งความรักแล้ว ถือว่าข้าพเจ้าล้มเหลว” พระเยซูกล่าวว่า ความรักมีไว้เพื่อให้รักซึ่งกันและกัน ไม่ใช่มีไว้ให้เอามาอวดอ้างกันว่า ใครเก่งทฤษฎีมากกว่ากัน
“นี้แหละคือการเป็นพยานที่ดีที่สุดสำหรับโลกนี้” พระองค์กล่าวว่า “ความรักมากมายที่เรามีให้ต่อกันและกันนั้น จะพิสูจน์ให้โลกนี้เห็นว่า ท่านเป็นสาวกของเรา”
ความรักไม่ใช่เป็นเพียงแค่บางสิ่งบางอย่างที่คุณแค่นำมาย้ำเตือนกันลืมในบทเทศนาของคุณ หรือใช้เป็นครั้งเป็นคราวเหมือนเรื่องของการถวาย หรือเรื่องการประกาศข่าวประเสริฐ. แต่คุณต้องสอนคนของคุณอย่างต่อเนื่องว่า ความรักถือเป็นเรื่องสำคัญอยู่ในลำดับแรกๆทีเดียว ไบเบิ้ลกล่าวว่า “ให้ความรักเป็นเป้าหมายสูงสุดของท่าน” ดังนั้นมาช่วยคริสตจักรของคุณให้มุ่งมั่นในเรื่องการสร้าง-รักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันและกัน โดยสอนถึงหลักความจริง3ข้อ คือ
1. ชีวิตที่ปราศจากความรัก คือชีวิตที่ไร้คุณค่าอย่างแท้จริงบ่อยครั้ง เราทำเหมือนว่า การสร้าง-รักษาความสัมพันธ์นั้น เป็นอะไรที่จะต้องพยายามเจียดให้ลงตัวในตารางเวลาที่แสนจะวุ่นวายของเรา. แต่เรากำลังพูดถึงการหาเวลาเพื่อลูกๆของเรา หรือจัดเวลาเพื่อคนที่เกี่ยวข้องกับเรา ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้เราเห็นว่าการสร้าง-รักษาความสัมพันธ์นั้น ก็คือส่วนหนึ่งในชีวิตของเราเหมือนกับงานอีกหลายๆอย่าง แต่พระเจ้าบอกว่า “การสร้าง-รักษาความสัมพันธ์ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่มันเป็นทั้งชีวิตของเราเลย”พระเยซูได้สรุปว่า สิ่งสำคัญที่สุดในสายพระเนตรของพระเจ้า สรุปได้เพียง2 ประโยคคือ:

รักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้าน พระองค์ตรัสว่า ”ท่านต้องรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน” นี่คือมหาบัญญัติข้อแรกและเป็นข้อที่สำคัญที่สุด มหาบัญญัติข้อที่สองที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าข้อแรกคือ: จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง บัญญัติข้ออื่นๆและคำสั่งของผู้เผยพระวจนะทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของบัญญัติ2ข้อนี้ทั้งนั้น
เมื่อเราเรียนรู้ที่จะรักพระเจ้า (โดยการนมัสการ) แล้ว การเรียนรู้ที่จะรักผู้อื่น ก็จะกลายมาเป็นเป้าหมายที่สองในชีวิตของเรา
อาการ ”ยังไม่ว่าง” เป็นอันตรายตัวสำคัญต่อการสร้าง-รักษาความสัมพันธ์ คนเราโดยมากมักจะใช้เวลาให้หมดไปกับแค่เรื่องการดำเนินชีวิตให้อยู่รอด-การทำงาน-การจ่ายบิลค่าใช้จ่ายจิปาถะต่างๆเท่านั้น อย่าปล่อยให้การบรรลุเป้าหมายมาเป็นเป้าหมายของชีวิตซะเอง เพราะว่ามันไม่ใช่ สิ่งสำคัญของชีวิตคือการเรียนรู้ที่จะรักต่างหาก นั้นก็คือความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนบ้าน ชีวิตที่ขาดความรักมีค่าเท่ากับศูนย์
2. ความรักจะคงอยู่ตลอดไป เหตุผลอีกอย่างหนึ่งที่พระเจ้าบอกเราให้จัดลำดับเรื่องความรักให้อยู่ในความสำคัญสูงสุด เพราะเป็นเรื่องของนิรันดร์: มี 3 สิ่งที่คงอยู่ตลอดไป: ความเชื่อ, ความหวัง และความรัก และความรักใหญ่สุด”
เมื่อชีวิตบนโลกกำลังจะจบลง คนเราไม่ได้ต้องการรายล้อมด้วยวัตถุนิยมต่างๆอีกต่อไป, สิ่งที่เราต้องการคือผู้คน – ผู้คนที่เรารัก ผู้คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเรา และในวาระสุดท้ายของชีวิต พวกเราจะตระหนักว่า แท้จริงแล้ว มิตรภาพ-ความสัมพันธ์ นั้นแหละคือทุกอย่างในชีวิตของเรา ผู้ที่ชาญฉลาดคือผู้ที่ได้เรียนรู้ และมีโอกาสได้รื่นรมย์ความจริงข้อนี้ก่อนที่มันจะสายเกินไป ผมเคยอยู่ข้างเตียงของคนที่ใกล้ตายหลายคน เมื่อพวกเขายืนอยู่ตรงขอบของความตายกับชีวิตนิรันดร์ ผมไม่เคยไม่ยินใครพูดว่า ”หยิบใบปริญญาของผมมาให้ดูหน่อย ผมอยากจะได้ดูอีกสักครั้ง” หรือ”เอาโล่ห์รางวัล หรือเหรียญทอง หรือนาฬิกาเรือนทอง ของผมออกมาให้ผมได้ดูอีกสักครั้ง”
เมื่อชีวิตบนโลกกำลังจะจบลง คนเราไม่ได้ต้องการรายล้อมด้วยวัตถุนิยมต่างๆอีกต่อไป, สิ่งที่เราต้องการคือผู้คน – ผู้คนที่เรารัก ผู้คนที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเรา และในวาระสุดท้ายของชีวิต พวกเราจะตระหนักว่า แท้จริงแล้ว มิตรภาพ-ความสัมพันธ์ นั้นแหละคือทุกอย่างในชีวิตของเรา ผู้ที่ชาญฉลาดคือผู้ที่ได้เรียนรู้ และมีโอกาสได้รื่นรมย์ความจริงข้อนี้ก่อนที่มันจะสายเกินไป 3. พวกเราจะถูกประเมินผลจากความรักของเราสิ่งหนึ่งที่พระเจ้าใช้วัดความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายจิตวิญญาณของเราคือ ระดับคุณภาพของความสัมพันธ์ ในสวรรค์พระองค์คงไม่พูดว่า “บอกเราถึงอาชีพของเจ้า, เงินในบัญชีของเจ้า หรืองานอดิเรกของเจ้า” ตรงกันข้ามพระองค์ คงจะทบทวนว่าเราได้ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร โดยเฉพาะต่อคนที่ต้องการความช่วยเหลือ

พระเยซูตรัสว่า”การที่จะรักใครก็คือการรักครอบครัวของเขาและใส่ใจต่อความต้องการพื้นฐานของเขา” “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าท่านกระทำเช่นนี้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุด ก็เหมือนกับได้กระทำต่อเราด้วย”
มนุษย์เราต้องเข้าใจให้ดีว่า เมื่อถึงเวลาที่ต้องไปสู่ชีวิตนิรันดร์แล้ว เราทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีไว้เบื้องหลัง สิ่งเดียวเท่านั้นที่เราติดตัวไปด้วยคือลักษณะนิสัยของเรา ดังนั้นในไบเบิ้ลถึงได้กล่าวว่า ”สิ่งเดียวที่มีความหมาย คือความเชื่อ ซึ่งได้ถูกพิสูจน์ตัวเองให้เห็นแล้ว จากความรักที่เราได้แสดงออกต่อผู้อื่น”
เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ผมขอหนุนใจให้พี่น้องของเราอธิษฐานทุกเช้าด้วยคำอธิษฐานง่ายๆ ดังนี้ ”ข้าแต่พระเจ้า ไม่ว่าข้าพระองค์จะทำสิ่งใดในวันนี้ ขอให้ข้าพระองค์แน่ใจว่า ได้ทำด้วยความรักที่มีต่อพระองค์ และต่อผู้อื่น – เพราะนี้คือความหมายทั้งหมดของการมีชีวิต ข้าพระองค์ไม่ต้องการให้วันนี้ผ่านไปอย่างไร้ค่า โดยดำเนินชีวิตที่ปราศจากซึ่งความรัก”ทำไมพระองค์จะต้องให้เวลาคุณอีกวันล่ะ ถ้าคุณจะทำให้วันนี้ผ่านไปอย่างไร้ค่า