11 มี.ค. 2554

ผ้าคลุมเปิดออกแล้วในพระคริสต์

แต่จิตใจของเขาแข็งกระด้างไปเสีย เพราะตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเขาอ่านพันธสัญญาเดิม ผ้าคลุมนั้นยังคงอยู่มิได้เปิดออก แต่ผ้าคลุมนั้นเปิดออกแล้วโดยพระคริสต์ - ๒ คร. ๓:๑๔

คุณเคยรู้สึกไหมว่าบางครั้งอ่านพระคัมภีร์แล้วไม่เข้าใจ ยิ่งคุณอ่านเพราะเป็นหน้าที่ยิ่งไปกันใหญ่ บางครั้งหลับใน คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกเช่นนั้นอีกต่อไป พระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ประทานให้กับเฉพาะกลุ่มคนที่มีความรู้พิเศษเท่านั้น แต่ประทานให้กับทุกคน เป็นไปได้ที่คนมีการศึกษามากกลับอ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่คนที่มีการศึกษาน้อยตามมาตรฐานโลกกลับเข้าใจ จากพระธรรมข้อหลักวันนี้ ชาวยิวอ่านพระวจนะของพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะจิตใจของพวกเขาแข็งกระด้าง จิตใจที่แข็งกระด้างจะทำให้ไม่เข้าใจพระวจนะและทำให้พระวจนะไม่ฝังลงในหัวใจ (มธ. ๑๓:๑๙) พระเจ้าประทานพระบัญญัติสิบประการแด่โมเสส เมื่อโมเสสนำพระวจนะลงมา ผิวหน้าท่านทอแสง ประชาชนเกิดกลัวไม่กล้าเข้ามาหาท่าน โมเสสต้องคลุมหน้าท่านเอาไว้ ชาวยิวรับพระวจนะที่เป็นตัวอักษรจารึกลงบนหิน แต่ไม่สามารถรับพระสิริที่มากับพระวจนะได้ พวกเขาเห็นแค่พื้นผิว แต่พวกเขาไม่เห็นลึกลงภายใน แม้โมเสสจากไป ผ้าคลุมนั้นยังคงอยู่ ยังคงปิดบังใจของพวกเขาไว้ (๒ คร. ๓:๑๕) แต่ทุกคนที่หันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผ้าคลุมก็จะเปิดออก (ข้อ ๑๖) หากเวลานี้คุณอยู่ในพระคริสต์ ไม่มีผ้าคลุมปิดบังใจของคุณอีกต่อไป คุณจึงมองพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่อยู่ในพระวจนะได้ (ข้อ ๑๘) ในขณะที่คุณได้รับความสว่าง ได้รับพระสิริ ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น มีศักดิ์ศรีที่มาจากพระวิญญาณของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ (ข้อ ๑๘) เวลานี้ความสว่างจากพระเจ้าที่ทอแสงบนใบหน้าโมเสสได้ส่องเข้ามาในหัวใจของคุณแล้ว เพื่อให้คุณมีความสว่างซึ่งมาจากพระสิริของพระเจ้า (๒ คร. ๔:๖) ความสว่างภายในคุณคือความสว่างแห่งความรู้ วันนี้คุณไม่มีหัวใจที่แข็งกระด้าง พระเจ้าทรงนำเอาใจหินออกไปจากคุณ คุณสามารถอ่านพระวจนะ ได้รับความสว่างและเข้าใจได้ จงเปลี่ยนมุมมองของคุณใหม่ อย่ามองว่าคุณกำลังอ่านตัวอักษรที่จารึกบนหิน อย่ามองว่าเป็นหน้าที่ อย่ามองว่าต้องจบสูงเสียก่อนจึงจะเข้าใจ สมัยพระเยซู คนที่จบศาสนศาสตร์ชั้นสูงมากมายเดินผ่านพระเยซู ผู้เป็นพระเจ้าที่พวกตนนับถือซึ่งเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ยังไม่รู้เลยว่าพระองค์ทรงเป็นใคร และกลับพยายามฆ่าพระองค์โดยอาศัยพระวจนะที่จารึกไว้นอกหัวใจ แต่จงเชื่อว่าเพราะคุณอยู่ในพระคริสต์ผ้าคลุมได้ถูกเปิดออกแล้ว จงเชื่อว่าทุกครั้งที่คุณอ่านพระวจนะ ความสว่าง พระสิริของพระเจ้ากำลังทอแสงแรงกล้าภายในวิญญาณของคุณยิ่งกว่าบนใบหน้าของโมเสส (ข้อ ๘-๑๑) คุณจะได้รับการสอนโดยตรงจากพระวิญญาณของพระเจ้า แม้ในพระคริสต์จะไม่มีผ้าคลุม แต่ในศาสนายังคงมีผ้าคลุมส่งทอดกันมา ผ้าคลุมศาสนาจะบังใจเราจากพระสิริของพระเจ้า บังใจเราจากสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้เพื่อผู้เชื่อทุกคนผ่านทางพระเยซู ผ้าคลุมศาสนาจะบอกเราว่า “ยุคอัศจรรย์ ยุคของการรักษา ยุคของการจัดเตรียม ยุคของการมีชัยเหลือล้น ยุคของพระพรนานาประการได้สูญสิ้นไปกับอัครทูตคนสุดท้าย” ตัดสินใจวันนี้ อย่าปล่อยให้ผ้าคลุมเหล่านี้ปิดบังใจคุณจากพระวจนะของพระเจ้า จงตรวจสอบทุกความเชื่อของคุณโดยพระวจนะ อย่าเชื่อตามคำสอนตกทอด แต่จงเชื่อตามพระวจนะของพระเจ้า ทำเช่นนั้นแล้ว ผ้าคลุมศาสนาจะถูกปลด คุณจะได้รับความสว่าง ความเข้าใจ ชีวิตคุณจะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น มีศักดิ์ศรีที่มาจากพระวิญญาณของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และด้วยความเชื่อคุณจะได้รับทุกสิ่งที่ทรงสัญญาไว้ในพระคริสต์และจะมีประสบการณ์กับชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ

คำกล่าวด้วยความเชื่อ: จิตใจของข้าพเจ้าอ่อนโยน วันนี้ เมื่อข้าพเจ้าเขาอ่านพระวจนะ ข้าพเจ้าอ่านโดยปราศจากผ้าคลุม เพราะผ้าคลุมนั้นเปิดออกแล้วโดยพระคริสต์
เสรีภาพในพระคริสต์


ตามคำแนะนำของพี่น้องจอมปลอม ที่ได้ลอบเข้ามา เพื่อจะสอดแนมดูเสรีภาพซึ่งเรามีเพราะพระเยซูคริสต์ พวกเขาหวังจะเอาเราไปเป็นทาส – กท. ๒:๔

เสรีภาพคือสิ่งที่ถูกเรียกร้องจากมนุษย์ทั่วโลกตลอดทุกยุคทุกสมัย แม้วันนี้ระบบทาสจะหมดไป แต่ภายในหัวใจมนุษย์ยังคงเป็นทาสบาปไม่เปลี่ยนแปลง พระเยซูตรัสว่า “ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป” (ยน. ๘:๓๔)

จากพระธรรมข้อหลัก ผู้เชื่อทุกคนมีเสรีภาพเพราะพระคริสต์

พระเยซูตรัสว่า “เหตุฉะนั้นถ้าพระบุตรทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท ท่านก็เป็นไทจริงๆ” (ยน. ๘:๓๖)

ปัญหาคือ เราไม่ทราบว่าพระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเป็นไทแล้วจริงๆ เราจึงยังคงปล่อยให้บาปครอบงำเราต่อไปผ่านความคิด คำพูดและการกระทำของเรา เราเลื่อนวันปลดปล่อย วันแห่งเสรีภาพออกไปโดยไม่มีกำหนด แม้กระทั่งคำอธิษฐานของเรายังสื่ออย่างชัดเจนว่าเราไม่เชื่อว่าเราเป็นไทแล้วจากบาป มารและความตายฝ่ายวิญญาณ ทั้งๆ ที่เสรีภาพได้เข้ามาภายในเราในวินาทีที่เรารับพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และในวินาทีเดียวกันนั้น เรายังได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากความตายฝ่ายวิญญาณ พ้นจากบาปและอำนาจของมาร พ้นจากบัญญัติต่างๆ ที่ผูกมัดและคำแช่งสาป

ในวินาทีที่พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาประทับภายใน เสรีภาพจากเบื้องบนได้เข้ามาภายในเช่นกัน (๒ คร. ๓:๑๗)

แต่เรากลับละเลยเสรีภาพที่เราได้มา แม้เราจะพ้นข้อผูกมัดและคำสาปแช่ง เรากลับตั้งกฎผูกมัดตนเองขึ้นมามากมาย และเมื่อเราทำไม่ได้ เรามองว่าพระเจ้าจะทรงเล่นงานและสาปแช่งเรา

หากวันนี้เราตื่นไม่ทันจนพลาดเวลาที่เราตั้งเอาไว้เพื่อใช้กับพระองค์ เราทนไม่ไหวกับของหวานแสนอร่อยที่เพื่อนหยิบยื่นให้จนเราพลาดจากการอดอาหารวันที่สี่สิบพอดี เราคุ้มคลั่งกับความผิดพลาดจนแทบเสียสติ เราหวาดกลัวว่าพระเจ้าจะทรงสาปแช่งที่เราทำไม่สำเร็จ ในขณะที่ผู้เชื่ออื่นๆ อีกมากมายยังคงใช้ชีวิตตามปกติ มีความสุข มีความชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า และยังมีประสบการณ์ดีๆ กับพระองค์มากมาย และได้รับคำตอบสำหรับคำอธิษฐานอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องทรมานตนเอง

พระคริสต์ทรงโปรดให้เราเป็นไทแล้ว อย่ากลับเป็นทาสกฎที่ตนสร้างขึ้นกดดันตนเองอีกเลย (กท. ๕:๑) มีเพียงกฎเดียวจากพระเจ้าที่ปกครองเรา คือกฎแห่งความรักซึ่งเป็นกฎแห่งเสรีภาพ

สมัยที่ยังไม่เลิกระบบทาส ทาสมีชีวิตอยู่โดยปราศจากเสรีภาพ ซึ่งตรงข้ามกับคนที่เป็นไท แต่ในพระคริสต์ การที่เรามีเสรีภาพ ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำอะไรก็ได้ พระคัมภีร์เตือนเราไม่ให้เอาเสรีภาพ “เป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง” (กท. ๕:๑๓) หรือ “เป็นข้ออ้างเพื่อจะทำความชั่ว” (๑ ปต. ๒:๑๖)

คุณเคยได้ยินใครสักคนอ้างหลังทำผิดหรือไม่ว่า “ยุคนี้ไม่มีการพิพากษาแล้ว ฉันเป็นไท ฉันจะทำอะไรก็ได้”

ความจริงคือ การอ้างเสรีภาพเพื่อปล่อยตัวตามเนื้อหนังและเพื่อจะทำชั่ว คือการกลับไปเป็นทาสเนื้อหนัง บาปและมารอีกครั้ง และในที่สุดเขาจะต้องพบกับการพิพากษาและต้องรับผลจากการกระทำของตน

บางคนอ้าง “พระคัมภีร์ไม่ห้ามสูบกัญชา ฉันเป็นไท สูบได้” แต่หารู้ไม่ว่า ในขณะที่สูบอยู่นั้น ถ้าบ้องหลุดมือตกน้ำ ก็ได้รู้กันทันทีว่าเขาเป็นไทหรือกำลังเป็นทาสของมัน

อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย” (๑ คร. ๖:๑๒)

สิ่งที่คุณทำจนติดเป็นนิสัยและเลิกไม่ได้ แม้ไม่มีข้อห้ามเจาะจงไว้ในพระคัมภีร์ แต่หากสิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์ และทำให้คุณตกอยู่ใต้อำนาจของมัน คุณได้พ้นจากเสรีภาพและกลับตกเป็นทาสสิ่งที่เป็นของโลก

พระคัมภีร์กำชับให้เราใช้เสรีภาพเพื่อ “รับใช้กันและกันด้วยความรัก” (กท. ๕:๑๓) และ “ดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า” (๑ ปต. ๒:๑๖)

เราพ้นจากการเป็นทาสรับใช้บาปและมาร เพื่อเป็นทาสรับใช้พระเจ้าและรับใช้พี่น้องทุกคน นั่นคือเสรีภาพที่แท้จริง (๑ คร. ๗:๒๒)

พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของผู้ดำเนินชีวิตอย่างมีเสรีภาพ แต่ขณะเดียวกัน พระองค์ไม่ทรงกระทำสิ่งใดตามอำเภอใจ แต่ทรงรับสภาพทาส รับใช้พระเจ้าและปรนนิบัติมวลชนจนถึงความมรณาที่กางเขน (ฟป. ๒:๕-๘)

คุณเลือกเองว่าจะเป็นไทแท้หรือไทเทียม จะเป็นทาสบาปหรือทาสความชอบธรรม จะเป็นทาสมารหรือเป็นทาสพระเจ้า จะรับใช้เนื้อหนังหรือจะรับใช้พี่น้อง

ตัดสินใจวันนี้ที่จะตระหนักในเสรีภาพที่คุณได้รับในพระคริสต์ ตระหนักว่าคุณเป็นไทจริงๆ จงใช้เสรีภาพเพื่อรับใช้พระเจ้าและพระกายของพระคริสต์ แล้วคุณจะดำเนินชีวิตอย่างไทแท้ พ้นจากนิสัยติดตัว บาป มารและความตายฝ่ายวิญญาณที่พยายามครอบงำ และจะมีประสบการณ์กับเสรีภาพที่แท้จริงและชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ

คำอธิษฐานด้วยความเชื่อ: พระบิดาเจ้า ลูกขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงกระทำให้ลูกเป็นไท ลูกขอบพระคุณพระองค์สำหรับเสรีภาพที่เราลูกมีในพระคริสต์ ลูกจะดำเนินชีวิตอย่างผู้เป็นไทแท้ โดยการเป็นทาสรับใช้พระองค์และพี่น้องทุกคน ลูกสรรเสริญพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน

ไม่มีความคิดเห็น: